
ปัญหารอยแตกลายถือว่าเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ส่วนใหญ่มักมีต้นตอมาจากการที่ผิวหนังเกิดการขยายตัวหรือหดตัวอย่างรวดเร็ว การใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตอรอยด์ และพฤติกรรมบางอย่าง ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ ‘เลเซอร์แตกลาย’ เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม
รอยแตกลาย คืออะไร แบ่งได้กี่ประเภท ?
สำหรับปัญหารอยแตกลาย มักเกิดขึ้นอยู่ตรงบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น ต้นแขน ต้นขน สะโพก น่อง เอว ฯลฯ โดยรอยแตกลายมักจะเกิดขึ้นจากการฉีกขาดของหนังแท้ มักพบเจอกับกลุ่มเด็กที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว ผู้ที่มีน้ำหนักมาก คุณแม่ตั้งครรภ์ และกลุ่มนักกีฬาเพาะกาย โดยลักษณะของรอยแตกลายจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
- Striae Rubra : รอยแตกลายลักษณะเป็นเส้นสีแดง Striae Rubra ถือเป็นรอยแตกลายในระยะแรก
- Striae Alba : รอยแตกลายลักษณะเส้นสีขาว เป็นรอยแตกลายที่เปลี่ยนจากเส้นสีแดงมาเป็นสีขาว และรอยแตกลายได้ยุบตัวลงบนผิว
- Striae Distensae : รอยแตกลายที่มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานจากการยืดมักพบในผู้ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- Striae Atrophicans : รอยแตกลายที่มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานโดยมีอาการผิวฝ่อ มักพบในคุณแม่หลังคลอด หรือมีน้ำหนักตัวมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

คืนความสวยให้ผิวด้วย ‘เลเซอร์แตกลาย’ ได้ผลจริงไหม
สำหรับเลเซอร์รอยแตกลาย ลดรอยแตกลาย เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาผิวหนัง ในส่วนที่กำลังมีปัญหา ใช้รูปแบบการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์แบบเฉพาะเจาะจงที่แม่นยำ โดยเรียกว่าเทคโนโลยี Fractional Photothermolysis รักษาผิวทีละส่วน โดยเครื่องเลเซอร์จะปล่อยพลังงานอนุภาคความเร็วสูงถึง 1 ต่อล้ายวินาที ทำให้ได้โมเลกุลขนาดเล็กที่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น (ยิ่งแสงอนุภาคเล็กเท่าไหร่ ยิ่งกระตุ้นการทำงานได้มากขึ้น)
ที่สำคัญแสงเลเซอร์ขนาดเล็ก ยังช่วยแก้ไขปัญหาตรงบริเวณที่ต้องการเท่านั้น ไม่กระทบต่อเซลล์ผิวบริเวณที่ไม่เกี่ยวข้อง ช่วยให้ผิวที่แตกลายกลับมาเรียบเนียนได้อย่างรวดเร็ว ไม่เจ็บปวด ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเหมือนกับการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิม ๆ นอกจากนี้เลเซอร์ยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับสี รักษารอยแตกลาย และรอยคล้ำให้ใกล้เคียงกับผิวปกติที่สุดอีกด้วยนะ สำหรับประโยชน์ของเลเซอร์แตกลาย มีดังนี้
- ช่วยลดรอยแตกลายบริเวณต่าง ๆ เช่น หน้าอก สะโพก เอว ต้นแขน ต้นขา และบริเวณที่ต้องการได้
- ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและอ่อนเยาว์กว่าเดิม
- ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและผิวดีกว่าเดิม
- ช่วยลดริ้วรอยด่างดำ
- ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา
- ช่วยลดรอยแผลจากสิวและแผลเป็นหลังการผ่าตัด

เตรียมตัวอย่างไรก่อนเข้ารับการรักษา
- ต้องแจ้งรายละเอียดต่าง ๆ ที่แพทย์ควรทราบ เช่น ประวัติการแพ้ยา/อาหาร ยาที่รับประทานเป็นประจำ เพื่อให้แพทย์พิจารณาก่อนการรักษาทุกครั้ง
- งดทาครีมที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 – 3 วันก่อนรับการรักษา
- ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการรักษา ไม่ควรทำกิจกรรมที่ต้องตากแดดเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้การรักษายากมากยิ่งขึ้น (ผิวไหม้)
- งดแว๊กซ์ผิว ขัดผิว สครับผิว นวดหน้า โกนขน และดึงขน 2 – 3 วันก่อนการรักษา
- งดการทำ Electrolysis ก่อนรักษารอยแตกลาย รอยคล้ำอย่างน้อย 4 – 6 สัปดาห์
สำหรับผลลัพธ์หลังการรักษาจะเป็นอย่างไร ต้องขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการพบแพทย์ และการดูแลตัวเองหลังการรักษา ที่สำคัญจะต้องเข้ารับบริการผ่านสถานพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน ที่ดำเนินการด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเท่านั้น เพราะสิ่งนี้นอกจากจะช่วยการันตีความมีคุณภาพและผลลัพธ์หลังการทำที่เห็นผลได้แล้ว ยังช่วยในเรื่องความปลอดภัยของคุณได้มากอีกด้วย ดังนั้นศึกษารายละเอียดให้แน่ใจ ไม่หลงเชื่อคำโฆษณาที่เกินจริง หรือศึกษารีวิวจากผู้เข้ารับการรักษาจริงก็ได้เช่นกัน
ที่มา : The Skin Clinic